2.1 แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบการเรียนการสอนตามทฤษฎีสร้างความรู้นิยม
(Constructivism)
ผศ.ดร.นรีรัตน์ สร้อยศรี
2.1.1 การออกแบบการเรียนการสอน
การออกแบบระบบการเรียนการสอน
(Instructional
System Desig) มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น
การออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) การออกแบบและพัฒนาการสอน
(Instructional Design and Developmen) เป็นต้น
ไม่ว่าชื่อจะมีความหลากหลายเพียงใด
แต่ชื่อเหล่านั้นก็มากจากต้นตอเดียวกัน คือ
มาจากแนวคิดในการใช้กระบวนการของวิธีระบบ (System Approach) (ฉลอง, 2551)
แนวคิดของวิธีระบบ
ถือได้ว่าเป็นรากฐานของระบบการเรียนการสอน โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า
ระบบจะประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำงานสัมพันธ์กัน และระบบสามารถปรับปรุง
ปรับทิศทางของตนเองได้ จากการตรวจสอบจากข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
วิธีระบบถูกนำมาใช้ในระบบการศึกษาและได้รับการพัฒนา ปรับปรุงขึ้นเป็นลำดับ
โดยได้มีผู้พัฒนารูปแบบการสอน (Model) ขึ้นหลากหลายรูปแบบ
รูปแบบเหล่านี้เรียกชื่อว่า ระบบการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional
Design Systems) หรือเรียกสั้นลงไปอีกว่า
การออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) การออกแบบการเรียนการสอนจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นขั้นตอนต่าง
ๆ
ที่อาศัยหลักการและทฤษฎีสนับสนุนจากองค์ความรู้และการวิจัยทางการศึกษาจนถึงปัจจุบัน
นักการศึกษาได้พัฒนารูปแบบการเรียนการสอน (Instructional Model) ขึ้นมากกว่า 50 รูปแบบ
รูปแบบเหล่านี้ได้รับการตรวจสอบ
ทดสอบและการปรับปรุงมาแล้วก่อนที่จะเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์
ที่เชื่อได้ว่า
ถ้านำไปใช้แล้วจะทำให้ประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการสอนอย่างสูงสุด
ทิศนา
(2548) ได้กล่าวว่า รูปแบบการสอน/รูปแบบการเรียนการสอน(Teaching/Instructional
Model) คือแบบแผนการดำเนินการสอนที่ได้รับการจัดระบบอย่างสัมพันธ์กับทฤษฎี/หลักการเรียนรู้หรือการสอนที่รูปแบบนั้นยึดถือ
และได้รับการพิสูจน์ ทดสอบว่ามีประสิทธิภาพ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมายเฉพาะของรูปแบบนั้น ๆ
โดยทั่วไปแบบแผนการดำเนินการสอนดังกล่าว มักประกอบด้วยทฤษฎี/หลักการที่รูปแบบนั้นยึดถือและกระบวนการสอนที่มีลักษณะเฉพาะอันจะนำไปสู่จุดมุ่งหมายเฉพาะที่รูปแบบนั้นกำหนด
ซึ่งผู้สอนสามารถนำไปใช้เป็นแบบแผนหรือเป็นแบบอย่างในการจัดและดำเนินการสอนอื่น
ๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะเช่นเดียวกันได้
2.1.2
ทฤษฎีสร้างความรู้นิยม (Constructivism)
2.1.2.1
ความหมายของทฤษฎีสร้างความรู้นิยม
ได้มีผู้ให้ความหมายและชื่อของทฤษฎี
Constructivism
ไว้แตกต่างกัน ดังนี้
ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนลงมือกระทำในการสร้างความรู้มากกว่าเป็นผู้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอน(สุภนิดา,
2553)
ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม
(Constructivism
Approach) มีหลักที่สำคัญเกี่ยวกับการสอน
การเรียนรู้คือนักเรียนจะต้องสร้างความรู้ (Knowledge) ขึ้นในใจเอง
ครูเป็นแค่เพียงผู้ช่วยหรือเข้าใจในกระบวนการนี้โดยหาวิธีการจัดการข้อมูลข่าวสารให้มีความหมายแก่นักเรียน
หรือให้โอกาสนักเรียนได้มีโอกาสค้นพบด้วยตนเอง
นอกจากนี้จะต้องสอนศิลปะการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน
นักเรียนจะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำเองไม่ว่าครูจะใช้วิธีสอนอย่างไร (สุรางค์,
2541)
ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสรรคนิยม
(Constructivism)
ทฤษฎีการสร้างความรู้ว่าด้วยผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ความรู้ขึ้นได้เอง
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสติปัญญาของบุคคลในการสร้างความรู้และความหมายของสิ่งต่าง
ๆ ที่ตนได้รับ ผ่านกระบวนการซึมซับ (Assimilation) คือการนำข้อมูลหรือความรู้ใหม่ที่ได้รับไปเชื่อมโยงอย่างกลมกลืนกับโครงสร้างความรู้ที่ตนมีอยู่
และการปรับกระบวนการการรู้คิด (Accommodation) คือการคิดค้นหาวิธีการต่าง ๆ
มาใช้ในการสร้างความเข้าใจจนเกิดเป็นความรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง
ดังนั้นการเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการภายในที่แต่ละบุคคลต้องเป็นผู้สร้างด้วยตนเองและสามารถทำได้ดียิ่งหากได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากที่อื่น
(ราชบัณฑิตสถาน, 2551)
นิรมิตนิยม
(Constructivism)
(นิรมิต แปลว่า สร้าง) สรุปไว้ว่า“นิรมิตนิยมเชื่อว่า
ความรู้ ก็คือ
สิ่งที่ผู้เรียนรับรู้และเข้าใจ
ซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของเขา ขึ้นอยู่กับการแปลความหมายของเขา
เราไม่สามารถจะถ่ายทอดความรู้จากการสอนโดยตรง
แต่เด็กจะต้องค้นพบความรู้ด้วยตัวของเขา
ซึ่งก็หมายความว่าเด็กต้องสร้าง (Construct) ความรู้ขึ้นด้วยตัวของเขาเอง
การสร้างความรู้นั้นก็มีหลักการว่า
ต้องเรียนความรู้จากบริบทที่แวดล้อมอยู่
ต้องเรียนจากการทำจริงปฏิบัติจริงจากสถานการณ์ที่เป็นจริง ครูยังมีบทบาทสำคัญ
ไม่ใช่ฐานะผู้สอนแต่เป็นผู้อำนวยความสะดวก เด็กต้องมีอิสระที่จะเลือก ที่จะเรียน
เด็กต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อนนักเรียนด้วยกันมีส่วนร่วมที่จะส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
ฯลฯ
ทฤษฎี การออกแบบระบบการเรียนการสอน
(Instructional System Design : ISD) ซึ่งเป็นเนื้อหาที่รายวิชาได้นำเสนอไว้
ในสัปดาห์ที่ 3 โดยนำเสนอรูปแบบของระบบการเรียนการสอนมีหลายรูปแบบ แต่ละรูปแบบสรุปแล้ว
อยู่ในกรอบของ ADDIE
Model (Analysis, Design, Development, Implementation, Evaluation)
กระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยส่วนตัว เมื่อได้รับมอบหมายจากภาควิชาให้รับผิดชอบสอนในรายวิชาใด ก็จะวางแผนการสอน สิ่งแรกที่ต้องทำ (เป็นข้อบังคับของฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัย) คือ ต้องส่ง แนวการสอนหรือแผนการสอน (Course Syllabus) ตลอดทั้งภาคเรียน ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันบ้าง ในแต่ละสถาบัน แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแผนการสอนโดยคร่าว ๆ ส่วนประกอบ ได้แก่
กระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยส่วนตัว เมื่อได้รับมอบหมายจากภาควิชาให้รับผิดชอบสอนในรายวิชาใด ก็จะวางแผนการสอน สิ่งแรกที่ต้องทำ (เป็นข้อบังคับของฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัย) คือ ต้องส่ง แนวการสอนหรือแผนการสอน (Course Syllabus) ตลอดทั้งภาคเรียน ซึ่งอาจมีรายละเอียดที่แตกต่างกันบ้าง ในแต่ละสถาบัน แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นแผนการสอนโดยคร่าว ๆ ส่วนประกอบ ได้แก่
ข้อมูลเกี่ยวกับรายวิชา คำอธิบายรายวิชา จุดประสงค์ทั่วไป แผนการสอนแต่ละบท/สัปดาห์
ที่ประกอบด้วยจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
เนื้อหา (หัวเรื่องหลักและหัวเรื่องรอง) กิจกรรมและวิธีการสอน สื่อการเรียนการสอน ชื่อตำราหรือหนังสื่อที่ใช้ประกอบ
และ เกณฑ์การวัดและประเมินผล
กระบวนการเขียนแผนการสอนนี้ ผมคิดว่าเป็นกระบวนการออกแบบระบบการเรียนการสอน เพียงแต่ไม่ได้แบ่งแยกขั้นตอนให้ชัดเจน
และบางขั้นตอนยังอาจจะยังไม่สมบูรณ์ ผมลองวิเคราะห์สิ่งที่ตนเองปฏิบัติหน้าที่ในการสอนที่ผ่านมา เชื่อมโยงกับทฤษฎีการออกแบบระบบการเรียนการสอน พอสรุปได้ดังนี้
1) การวิเคราะห์
(Analysis) ในประเด็นต่าง
ๆ ได้แก่
- การวิเคราะห์ความจำเป็น
สำหรับวิชาที่จัดไว้ในหลักสูตร
และเป็นวิชาที่เลือกให้นักศึกษาเรียน
ส่วนนี้คณะกรรมการบริหารหลักสูตร
ได้ทำการวิเคราะห์ถึงความจำเป็น
ด้วยเหตุและผล
อาจมีการปรับเปลี่ยนหลักสูตร คำอธิบายรายวิชาให้ทันสมัยตามความก้าวหน้าทางวิชาการที่เปลี่ยนไป
- การวิเคราะห์งานหรือการเรียนการสอน ได้แก่
การวิเคราะห์เนื้อหาและกิจกรรมต่าง
ๆ
ที่ผู้สอนต้องทำในรายวิชา โดยการแสดงหัวข้อเนื้อหาหลัก หัวเรื่องรอง
โดยยึดกรอบคำอธิบายรายวิชาเป็นหลัก
- การวิเคราะห์ผู้เรียน ส่วนใหญ่มักทำด้วยกระบวนการสั้น
ๆ เช่น สอบถามความรู้พื้นฐาน
บางครั้งอาจมีการประเมินผลก่อนเรียน แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ในการออกแบบการเรียนการสอนเท่าไรนัก
ทั้งที่เป็นส่วนสำคัญมาก
ๆ
ที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จทางการเรียน
แต่เนื่องจากมีผู้เรียนจำนวนมากในห้องเรียน
ผู้สอนไม่อาจออกแบบการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้
จึงออกแบบการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนส่วนใหญ่ในห้อง
- การวิเคราะห์วัตถุประสงค์ มีการวิเคราะห์วัตถุประสงค์ในการเรียนการสอน
โดยแบ่งเป็นวัตถุประสงค์ทั่วไปของรายวิชา และวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละบท
2) การออกแบบ (Design) คือ
การออกแบบในส่วนของ วัตถุประสงค์การสอนแต่ละบทหรือแต่ละสัปดาห์ เน้นการพัฒนาผู้เรียนให้ครบทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านสติปัญญา (Cognitive) ด้านทักษะ (Psychomotor) และด้านลักษณะนิสัย
(Affective) ลำดับเนื้อหาในการสอน ระบุวิธีสอนหรือ
กลยุทธ์ในการสอน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีการบรรยาย อภิปราย มอบหมายงาน (ส่วนใหญ่ยังใช้วิธีผู้สอนเป็นศูนย์กลาง) เลือกสื่อการสอน และกำหนดวิธีการประเมินผล ทั้งหมดได้ออกแบบโดยกำหนดไว้ในแผนการสอนแล้ว แต่จะนำมาใช้ตามแผนได้ทั้งหมดหรือไม่นั้น บางครั้งมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา (ถ้าสอนในชั้นเรียนปกติ และมีนักศึกษากลุ่มใหญ่)
กลยุทธ์ในการสอน ซึ่งส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีการบรรยาย อภิปราย มอบหมายงาน (ส่วนใหญ่ยังใช้วิธีผู้สอนเป็นศูนย์กลาง) เลือกสื่อการสอน และกำหนดวิธีการประเมินผล ทั้งหมดได้ออกแบบโดยกำหนดไว้ในแผนการสอนแล้ว แต่จะนำมาใช้ตามแผนได้ทั้งหมดหรือไม่นั้น บางครั้งมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา (ถ้าสอนในชั้นเรียนปกติ และมีนักศึกษากลุ่มใหญ่)
3) การพัฒนา (Development) กระบวนการพัฒนา ได้แก่
การนำสิ่งที่คิดหรือออกแบบไว้มาใช้
ได้แก่
- การพัฒนาเนื้อหา กรณีไม่พัฒนาตำราหรือเอกสารประกอบการสอนเอง ก็ใช้วิธีการเลือกหนังสือหรือตำราที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับสิ่งที่ออกแบบไว้
- การพัฒนาสื่อ ที่สามารถทำได้ขณะนี้คือ สไลด์ประกอบการสอน เว็บไซต์แหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม
- การประเมินในขณะพัฒนา เป็นกระบวนการที่สำคัญ ผู้สอนมักไม่ค่อยได้นำมาใช้ เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก อาจต้องมีผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินตรวจสอบ หรือใช้กระบวนการวิจัยสื่อทำการหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสื่อ
- การพัฒนาเนื้อหา กรณีไม่พัฒนาตำราหรือเอกสารประกอบการสอนเอง ก็ใช้วิธีการเลือกหนังสือหรือตำราที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับสิ่งที่ออกแบบไว้
- การพัฒนาสื่อ ที่สามารถทำได้ขณะนี้คือ สไลด์ประกอบการสอน เว็บไซต์แหล่งค้นคว้าเพิ่มเติม
- การประเมินในขณะพัฒนา เป็นกระบวนการที่สำคัญ ผู้สอนมักไม่ค่อยได้นำมาใช้ เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก อาจต้องมีผู้เชี่ยวชาญช่วยประเมินตรวจสอบ หรือใช้กระบวนการวิจัยสื่อทำการหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสื่อ
4) การนำไปใช้ (Implementation) คือ ขั้นตอนการนำแผนการสอนที่ได้วิเคราะห์
ออกแบบ
และพัฒนาไว้ไปใช้สอนจริง
โดยพยายามดำเนินการตามแผนการสอนหรือระบบการเรียนการสอนที่ออกแบบไว้
5) การวัดและประเมินผล (Evaluation) กระบวนการวัดและประเมินผลการสอน ส่วนใหญ่เป็นขั้นตอนการวัดและประเมินผลเพื่อเป็นการตัดสินผู้เรียน
(เพื่อตัดเกรด) คือ การสอบ
การประเมินผล
(Evaluation)
ขั้นตอนนี้วัดผลประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการสอน
การประเมินผลเกิดขึ้นตลอดกระบวนการการออกแบบระบบการสอนโดยใช้แบบจำลอง ADDIE
(Instructional
System Design (ISD): Using the ADDIE Model)
การวิเคราะห์(Analysis)
ขั้นตอนการวิเคราะห์เป็นรากฐานสำหรับขั้นตอนการออกแบบการสอนขั้นตอนอื่นๆ
ในระหว่างขั้นตอนนี้ คุณจะต้องระบุปัญหา,
ระบุแหล่งของปัญหา และวินิจฉัยคำตอบที่ทำได้
ขั้นตอนนี้อาจประกอบด้วยเทคนิคการวินิจฉัยเฉพาะ เช่น การวิเคราะห์ความต้องการ(ความจำเป็น) , การวิเคราะห์งาน, การวิเคราะห์ภารกิจ ผลลัพธ์ของขั้นตอนนี้มักประกอบด้วย เป้าหมาย
(goal), และรายการภารกิจที่จะสอน
ผลลัพธ์เหล่านี้จะถูกนำเข้าไปยังขั้นตอนการออกแบบต่อไป
การออกแบบ (Design)
ขั้นตอนการออกแบบเกี่ยวข้องกับการใช้ผลลัพธ์จากขั้นตอนการวิเคราะห์
เพื่อวางแผนกลยุทธ์สำหรับพัฒนาการสอนในระหว่างขั้นตอนนี้คุณจะต้องกำหนดโครงร่างวิธีการให้บรรลุถึงเป้าหมายการสอน
ซึ่งได้รับการวินิจฉัยในระหว่างขั้นตอนการวิเคราะห์ และขยายผลสารัตถะการสอน
องค์ประกอบบางประการของขั้นตอนการออกแบบอาจจะประกอบด้วยการเขียนรายละเอียดกลุ่มประชากรเป้าหมาย, การดำเนินการวิเคราะห์การเรียน,
การเขียนวัตถุประสงค์และข้อทดสอบ, เลือกระบบการนำส่ง
และจัดลำดับขั้นตอนการสอน
ผลลัพธ์ของขั้นตอนการออกแบบจะเป็นข้อมูลนำเข้าสำหรับขั้นตอนการพัฒนาต่อไป
การพัฒนา (Development)
ขั้นตอนการพัฒนาสร้างขึ้นบนบนขั้นตอนการวิเคราะห์และการออกแบบ
จุดมุ่งหมายของขั้นตอนนี้คือสร้างแผนการสอนและสื่อของบทเรียนในระหว่างขั้นตอนนี้คุณจะต้องพัฒนาการสอนและสื่อทั้งหมดที่ใช้ในการสอน
และเอกสารสนับสนุนต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจจะประกอบด้วยฮาร์ดแวร์ (เช่น เครื่องมือสถานการณ์จำลอง)
และซอฟต์แวร์ (เช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน)
การดำเนินการให้เป็นผล
(Implementation)
ขั้นตอนการดำเนินการให้เป็นผล
หมายถึงการนำส่งที่แท้จริงของการสอน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบชั้นเรียน หรือห้องทดลอง
หรือรูปแบบใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานก็ตาม จุดมุ่งหมายของขั้นตอนนี้คือการนำส่งการสอนอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ขั้นตอนนี้จะต้องให้การส่งเสริมความเข้าใจของผู้เรียนในสารปัจจัยต่างๆ, สนับสนุนการเรียนรอบรู้ของผู้เรียนในวัตถุประสงค์ต่างๆและเป็นหลักประกันในการถ่ายออกแบบการสอนทั้งหมด
กล่าวคือ ภายในขั้นตอนต่างๆ และระหว่างขั้นตอนต่างๆ
และภายหลังการดำเนินการให้เป็นผลแล้ว การประเมินผล
อาจจะเป็นการประเมินผลเพื่อพัฒนา (Formative evaluation) หรือการประเมินผลรวม
(Summative evaluation)
การประเมินผลเพื่อพัฒนา
(Formative
evaluation):
ดำเนินการต่อเนื่องในภายในและระหว่างขั้นตอนต่างๆ
จุดมุ่งหมายของการประเมินผลชนิดนี้ คือ
เพื่อปรับปรุงการสอนก่อนที่จะนำแบบฉบับขั้นสุดท้ายไปใช้ให้เป็นผล
การประเมินผลรวม
(Summative
evaluation):
โดยปกติเกิดขึ้นภายหลังการสอน
เมื่อแบบฉบับขั้นสุดท้ายได้รับการดำเนินการใช้ให้เป็นผลแล้ว การประเมินผลประเภทนี้จะประเมินประสิทธิผลการสอนทั้งหมด
ข้อมูลจากการประเมินผลรวมโดยปกติมักจะถูกใช้เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการสอน
(เช่นจะซื้อชุดการสอนนั้นหรือไม่
หรือจะดำเนินการต่อไปหรือไม่)
ปัญหาการจัดการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิ่งและแนวทางแก้ไขเบื้องต้น
1. การใช้อีเลิร์นนิงในการสอนภาคปฏิบัติ
อีเลิร์นนิงคงไม่สามารถช่วยการเรียนการสอนด้านทักษะปฏิบัติได้ คงต้องเรียนจากการปฏิบัติจริง แต่อีเลิร์นนิงจะช่วยเตรียมความรู้ ความเข้าใจผู้เรียนให้พร้อม เมื่อเข้าเรียนภาคปฏิบัติจะทำให้เรียนได้เร็วขึ้น อีกอย่างที่มีการใช้อีเลิร์นนิง
ช่วยได้ดี คือ ในเรียนด้านทักษะที่ต้นทุนการฝึกปฏิบัติสูง หรือ อันตราย หรือจะต้องฝึกกับสัตว์ทดลอง เหล่าจะมี
บทเรียนอีเลิร์นนิงแบบสถานการณ์จำลอง (Simulation) ช่วยเตรียมผู้เรียนให้พร้อมก่อนฝึกปฏิบัติจริง ลดค่าใช้จ่ายและลดอันตรายจากการปฏิบัติจริง
2. มีปัญหาในขั้นตอนการพัฒนา เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการสร้างเว็บไซต์ ตรวจสอบ เช็คเวลา
รักษาความปลอดภัย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาบทเรียน
ตอนนี้ง่ายแล้วครับคุณนฤมลเพราะโปรแกรมระบบจัดการเรียนรู้ (LMS) เดี๋ยวนี้สำเร็จรูปมากๆ และ
โปรแกรมเหล่านี้ที่ให้ใช้ฟรี (Opensource) เช่น Moodle หรือ โปรแกรม TCU-LMS ที่เราใช้ใน
การเรียนการสอนวิชานี้อยู่ คุณนฤมลก็ขอไปใช้ได้ฟรี สำหรับ TCU-LMS มีอบรมให้ด้วยนะครับ
มีทีมให้คำปรึกษาด้วย ในส่วนการผลิตหากผู้สอน (คุณนฤมล) มีเวลาเรียนรู้วิธีการสร้างสื่อได้
ก็จะคล่องตัว แต่หากไม่มีเวลาก็สามารถใช้รูปแบบทีมงาน เช่น ทำงานเป็นทีมกับทีมผลิตสื่อ
หากไม่มีทีมผลิตสื่อ แต่มีสตางค์ก็สามารถ outsource ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ
อาจจะไม่ต้องถึงมืออาชีพ บริษัทต่างๆ แต่นักศึกษา หรือเพื่อนๆอาจารย์ที่มีฝีมือก็ช่วยได้ครับ
อีกอย่าง มีสื่อการเรียนรู้เป็นเรื่องๆ (ที่เขาเรียกกันว่า Learning Object) มีให้นำไปใช้ฟรีในเว็บมากมาย เช่นhttp://www.merlot.org ลองเข้าไปดูนะครับ มีเว็บสื่อการเรียนเป็นเรื่องๆให้นำมาใช้ แล้วลองศึกษาวิธีการออกแบบระบบฯแนวใหม่ ที่เป็นเนื้อหาของสัปดาห์นี้ คุณนฤมลจะเห็นว่าการสร้างสื่อการเรียนที่สวยๆ เริ่มมีความสำคัญลดลงนะ
การออกแบบกิจกรรมการเรียน และกระบวนการเรียนต่างหากจะจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้...
วิชา การออกแบบบทเรียนอีเลิร์นนิง ทุกคนจะได้ฝึกสร้างบทเรียนจริงตามหลักการที่ถูกต้อง และจะให้เปิดรับผู้เรียนจริงๆด้วยครับ
4. ประเมินได้อย่างไรว่าเป็นผู้เรียนจริง
ข้อนี้เป็นคำถามที่ดีครับ ปัจจุบันนี้ยังใช้หลายวิธีการร่วมด้วย เช่น การจัดให้มีการพบเพื่อปฐมนิเทศ การจัดสอบ
ในสถานที่มีผู้คุมสอบ เพื่อจะได้สามารถตรวจสอบว่าเป็นบุคคลชื่อนั้นจริงๆเป็นผู้สอบก็ถือว่ามีความรู้ (ใช้ในหลักสูตร
ปริญญา) ส่วนในหลักสูตรที่ไม่ได้มีการพบหน้ากัน ก็จะปรับรูปแบบเป็นใช้กิจกรรมการเรียนเป็นส่วนที่จะให้คะแนน
มากกว่าการสอบ ทำให้ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการเรียนตลอด ขณะเดียวกันในกระบวนการเรียน ก็จะให้ผู้เรียนตอบ
คำถาม หรือ ทำกิจกรรม โดยใช้พื้นฐานความรู้ สถานที่ทำงาน บริบทของตัวเอง เพื่อช่วยยืนยันได้อีกทางหนึ่ง (รวมทั้ง
เป็นหลักการที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยใช้ประสบการณ์ตัวเองและได้คำแนะนำไปใช้ปฏิบัติได้ในสถานการณ์ตัวเอง
1. การใช้อีเลิร์นนิงในการสอนภาคปฏิบัติ
อีเลิร์นนิงคงไม่สามารถช่วยการเรียนการสอนด้านทักษะปฏิบัติได้ คงต้องเรียนจากการปฏิบัติจริง แต่อีเลิร์นนิงจะช่วยเตรียมความรู้ ความเข้าใจผู้เรียนให้พร้อม เมื่อเข้าเรียนภาคปฏิบัติจะทำให้เรียนได้เร็วขึ้น อีกอย่างที่มีการใช้อีเลิร์นนิง
ช่วยได้ดี คือ ในเรียนด้านทักษะที่ต้นทุนการฝึกปฏิบัติสูง หรือ อันตราย หรือจะต้องฝึกกับสัตว์ทดลอง เหล่าจะมี
บทเรียนอีเลิร์นนิงแบบสถานการณ์จำลอง (Simulation) ช่วยเตรียมผู้เรียนให้พร้อมก่อนฝึกปฏิบัติจริง ลดค่าใช้จ่ายและลดอันตรายจากการปฏิบัติจริง
2. มีปัญหาในขั้นตอนการพัฒนา เพราะไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการสร้างเว็บไซต์ ตรวจสอบ เช็คเวลา
รักษาความปลอดภัย ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาบทเรียน
ตอนนี้ง่ายแล้วครับคุณนฤมลเพราะโปรแกรมระบบจัดการเรียนรู้ (LMS) เดี๋ยวนี้สำเร็จรูปมากๆ และ
โปรแกรมเหล่านี้ที่ให้ใช้ฟรี (Opensource) เช่น Moodle หรือ โปรแกรม TCU-LMS ที่เราใช้ใน
การเรียนการสอนวิชานี้อยู่ คุณนฤมลก็ขอไปใช้ได้ฟรี สำหรับ TCU-LMS มีอบรมให้ด้วยนะครับ
มีทีมให้คำปรึกษาด้วย ในส่วนการผลิตหากผู้สอน (คุณนฤมล) มีเวลาเรียนรู้วิธีการสร้างสื่อได้
ก็จะคล่องตัว แต่หากไม่มีเวลาก็สามารถใช้รูปแบบทีมงาน เช่น ทำงานเป็นทีมกับทีมผลิตสื่อ
หากไม่มีทีมผลิตสื่อ แต่มีสตางค์ก็สามารถ outsource ติดต่อผู้เชี่ยวชาญ
อาจจะไม่ต้องถึงมืออาชีพ บริษัทต่างๆ แต่นักศึกษา หรือเพื่อนๆอาจารย์ที่มีฝีมือก็ช่วยได้ครับ
อีกอย่าง มีสื่อการเรียนรู้เป็นเรื่องๆ (ที่เขาเรียกกันว่า Learning Object) มีให้นำไปใช้ฟรีในเว็บมากมาย เช่นhttp://www.merlot.org ลองเข้าไปดูนะครับ มีเว็บสื่อการเรียนเป็นเรื่องๆให้นำมาใช้ แล้วลองศึกษาวิธีการออกแบบระบบฯแนวใหม่ ที่เป็นเนื้อหาของสัปดาห์นี้ คุณนฤมลจะเห็นว่าการสร้างสื่อการเรียนที่สวยๆ เริ่มมีความสำคัญลดลงนะ
การออกแบบกิจกรรมการเรียน และกระบวนการเรียนต่างหากจะจะส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้...
วิชา การออกแบบบทเรียนอีเลิร์นนิง ทุกคนจะได้ฝึกสร้างบทเรียนจริงตามหลักการที่ถูกต้อง และจะให้เปิดรับผู้เรียนจริงๆด้วยครับ
4. ประเมินได้อย่างไรว่าเป็นผู้เรียนจริง
ข้อนี้เป็นคำถามที่ดีครับ ปัจจุบันนี้ยังใช้หลายวิธีการร่วมด้วย เช่น การจัดให้มีการพบเพื่อปฐมนิเทศ การจัดสอบ
ในสถานที่มีผู้คุมสอบ เพื่อจะได้สามารถตรวจสอบว่าเป็นบุคคลชื่อนั้นจริงๆเป็นผู้สอบก็ถือว่ามีความรู้ (ใช้ในหลักสูตร
ปริญญา) ส่วนในหลักสูตรที่ไม่ได้มีการพบหน้ากัน ก็จะปรับรูปแบบเป็นใช้กิจกรรมการเรียนเป็นส่วนที่จะให้คะแนน
มากกว่าการสอบ ทำให้ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการเรียนตลอด ขณะเดียวกันในกระบวนการเรียน ก็จะให้ผู้เรียนตอบ
คำถาม หรือ ทำกิจกรรม โดยใช้พื้นฐานความรู้ สถานที่ทำงาน บริบทของตัวเอง เพื่อช่วยยืนยันได้อีกทางหนึ่ง (รวมทั้ง
เป็นหลักการที่จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยใช้ประสบการณ์ตัวเองและได้คำแนะนำไปใช้ปฏิบัติได้ในสถานการณ์ตัวเอง
....1. การเขียนสคริบ (Scripting) เป็นการจัดทำรายละเอียดการนำเสนอตามแบบที่กำหนดไว้
ในขั้นตอนนี้ผู้ออกแบบการสอนจะต้องเขียนรายละเอียดของเนื้อหาเป็นกรอบ(Frame)
ตามแบบของการเขียน เพื่อกำหนดว่าจะใช้ข้อความ ภาพ เรื่อง สี ขนาด
แบบตัวอักษร ฯลฯ และการกำหนดปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
....2. การออกแบบบทดำเนินเรื่อง (Storyboard) หมายถึง
เรื่องราวของบทเรียนประกอบด้วยเนื้อหาที่แบ่งออกเป็นเฟรมๆ ตั้งแต่เฟรมแรกซึ่งเป็น Title
ของบทเรียนจนถึงเฟรมสุดท้าย บทดำเนินเรื่องจึงประกอบด้วย ภาพข้อความ
คำถาม-คำตอบ และรายละเอียดอื่นๆ จากแผนภูมิการเรียนรู้ (Learning Flow
Chart) ในข้อ 6 จะเห็นว่ามีเนื้อหาย่อยๆ อยู่ 4
ตอน แต่ละตอนสามารถเขียนบทดำเนินเรื่อง (Storyboard)
....2. แบบแตกกิ่ง (Branching Program) บทเรียนรูปแบบนี้
มีกรอบการเรียนรู้ที่เป็นทางเลือกให้ผู้เรียน
ทำให้สนองความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ดี การจะออกแบบบทเรียนให้มีโครงสร้าง แตกกิ่ง
อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหาผู้ออกแบบบทเรียนวิเคราะห์ และกำหนดซึ่งมีรูปแบบดังนี้
.......2.1 แบบซ้ำกรอบเดิม (Linear format with repetition) มีลักษณะที่คล้ายกับบทเรียนแบบเส้นตรง แต่มีคำถามแทรกระหว่างกรอบเนื้อหา ถ้าผู้เรียนตอบถูกต้อง จะได้ผ่านไปกรอบถัดไป ถ้าตอบไม่ถูกต้อง จะย้อนกลับมายังกรอบเนื้อหาเดิมอีกครั้ง และตอบคำถามเดิมอีกครั้ง โครงสร้างแบบนี้เหมาะกับบทเรียนประเภทติวเตอร์ แบบฝึกหัด เกมเพื่อการศึกษา และสถานการณ์จำลอง
.......2.1 แบบซ้ำกรอบเดิม (Linear format with repetition) มีลักษณะที่คล้ายกับบทเรียนแบบเส้นตรง แต่มีคำถามแทรกระหว่างกรอบเนื้อหา ถ้าผู้เรียนตอบถูกต้อง จะได้ผ่านไปกรอบถัดไป ถ้าตอบไม่ถูกต้อง จะย้อนกลับมายังกรอบเนื้อหาเดิมอีกครั้ง และตอบคำถามเดิมอีกครั้ง โครงสร้างแบบนี้เหมาะกับบทเรียนประเภทติวเตอร์ แบบฝึกหัด เกมเพื่อการศึกษา และสถานการณ์จำลอง
.........2.2 แบบทดสอบข้ามกรอบ (Pretest and skip format) เป็นบทเรียนที่ทดสอบความรู้ของผู้เรียนก่อนเรียนเนื้อหา
ถ้าทดสอบผ่าน ก็จะข้ามกรอบที่ผู้เรียนรู้เนื้อหานั้น ๆ แล้วไปยังกรอบเนื้อหาอื่นๆ
โครงสร้างแบบนี้เหมาะสมกับบทเรียนประเภท ติวเตอร์แบบฝึกหัด เกมเพื่อการสอน
และสถานการณ์จำลอง
........2.3 แบบข้ามและย้อนกลับ (Gates Frames) มีลักษณะโครงสร้างแบบ เส้นตรงมีกรอบคำถามอยู่ระหว่างกรอบเนื้อหาหลายกรอบ และถ้าตอบผิด อาจย้อนกลับไป กรอบเนื้อหาใดๆ ตามที่ผู้ออกแบบบทเรียนกำหนดไว้ โครงสร้างแบบนี้เหมาะกับ บทเรียนประเภทติวเตอร์ แบบฝึกหัด เกมเพื่อการสอน และสถานการณ์จำลอง
........2.4 แบบเส้นทางเดินหลายทาง (Secondary tracks) เป็นบทเรียนที่มีทางเดินหลายระดับ โดยเส้นทางที่ 1 เป็นกรอบเนื้อหาหลัก ไม่มีรายละเอียดมากนัก ถ้าผู้เรียนเลือกเรียนเฉพาะเส้นทางที่ 1 ผู้เรียนจะได้รายละเอียดของเนื้อหาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องการรายละเอียดมากขึ้น ก่อนจะไปสู่กรอบเนื้อหาต่อๆ ไป จะต้องไปศึกษา ในทางเดินระดับที่ 2และ 3 โครงสร้างประเภทนี้เหมาะกับบทเรียนประเภท ติวเตอร์ ซึ่งเนื้อหาของบทเรียน มีลักษณะของไฮเปอร์เท็กซ์ และไฮเปอร์มีเดีย (Hypertext and Hypermedia)
....3. การประเมินบทเรียน (Content Correctness) หลังจากการจัดทำ Story board เสร็จแล้ว ควรให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาอย่างน้อย 3 – 5 คน ได้ประเมินเกี่ยวกับความเที่ยงตรงเค้าโครงสร้างของเนื้อหาก่อน ได้ข้อเสนอแนะแล้วนำมาปรับปรุงอีกครั้ง
.......2.5 แบบกรอบเสริมเชิงเดี่ยว (Single remedial branch) เป็นบทเรียนที่เริ่มด้วยกรอบเนื้อหา ตามด้วยกรอบคำถาม ถ้าผู้เรียนตอบถูกจะไปเรียนกรอบต่อไปแต่ถ้าตอบผิดผู้เรียนจะต้องไปเรียนกรอบซ่อมเสริมก่อนจะไปเรียนกรอบต่อไป ลักษณะบทเรียนประเภทนี้เหมาะกับบทเรียนประเภท ติวเตอร์ และแบบฝึกหัด
.......2.6 แบบมีห่วงกรอบช่วยเสริม (Remedial loops) มีลักษณะคล้ายกับแบบกรอบเสริมเชิงเดี่ยว ต่างกันที่ กรอบช่วยเสริมมีหลายกรอบ ประกอบกันเป็นชุด หลาย ๆ กรอบ ซึ่งเป็นกรอบที่ปูพื้นฐานความรู้ ข้อมูลให้ผู้เรียน เมื่อผู้เรียนได้รับการซ่อมเสริมแล้ว จะส่งกลับมายังกรอบเนื้อหาเดิม เพื่อให้ผู้เรียนใช้ความรู้จากการซ่อมเสริม มาศึกษากรอบเนื้อหาเดิมนั้น และตอบคำ ถามใหม่อีกครั้ง ก่อนจะไปเรียนกรอบเนื้อหาต่อไป โครงสร้างแบบนี้เหมาะสมกับบทเรียนประเภทติวเตอร์ และแบบฝึกหัด
........2.7 แบบแตกกิ่งคู่ (Branching frame sequence) บทเรียนลักษณะนี้ประกอบด้วยกรอบเนื้อหา กรอบคำถาม และกรอบซ่อมเสริม เมื่อผู้เรียน เรียนรู้เนื้อหาจะไปสู่กรอบคำถามซึ่งมีคำตอบให้เลือกตอบหลายตัวเลือกถ้าผู้เรียนตอบถูก จะไปเรียนกรอบต่อไป ถ้าตอบผิดในตัวเลือกที่ 1 จะไปสู่กรอบซ่อมเสริมสำหรับตัวเลือกที่ 1 ถ้าตอบผิดในตัวเลือกที่ 2 จะไปสู่กรอบซ่อมเสริมสำหรับตัวเลือกที่ 2 หากมีหลายตัวเลือกจะมีกรอบซ่อมเสริมหลายกรอบ เมื่อผู้เรียน เรียนกรอบซ่อมเสริมแล้วต้องกลับไปเรียน ในกรอบเนื้อหาใหม่ และทำกรอบทดสอบอีกครั้ง จนกว่าจะตอบถูก จึงจะไปสู่กรอบเนื้อหาต่อไป โครงสร้างลักษณะนี้เหมากับบทเรียนประเภทติวเตอร์ แบบฝึกหัด สถานการณ์จำลอง
.........2.8 แบบแตกกิ่งประกอบ (Compound branches) มีลักษณะที่เหมาะกับบทเรียนประเภทใช้วินิจฉัยข้อบกพร่องของผู้เรียน หรือสถานการณ์แก้ปัญหา คำถามจะอยู่ในลักษณะใช่ ไม่ใช่ จากคำตอบ ใช่ หรือไม่ใช่ที่ผู้เรียนเลือกตอบ จะพาผู้เรียนไปยังกรอบคำถาม หรือ เนื้อหากรอบต่อไปตามพื้นฐานความรู้ของผู้เรียนแต่ละคน
........2.3 แบบข้ามและย้อนกลับ (Gates Frames) มีลักษณะโครงสร้างแบบ เส้นตรงมีกรอบคำถามอยู่ระหว่างกรอบเนื้อหาหลายกรอบ และถ้าตอบผิด อาจย้อนกลับไป กรอบเนื้อหาใดๆ ตามที่ผู้ออกแบบบทเรียนกำหนดไว้ โครงสร้างแบบนี้เหมาะกับ บทเรียนประเภทติวเตอร์ แบบฝึกหัด เกมเพื่อการสอน และสถานการณ์จำลอง
........2.4 แบบเส้นทางเดินหลายทาง (Secondary tracks) เป็นบทเรียนที่มีทางเดินหลายระดับ โดยเส้นทางที่ 1 เป็นกรอบเนื้อหาหลัก ไม่มีรายละเอียดมากนัก ถ้าผู้เรียนเลือกเรียนเฉพาะเส้นทางที่ 1 ผู้เรียนจะได้รายละเอียดของเนื้อหาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องการรายละเอียดมากขึ้น ก่อนจะไปสู่กรอบเนื้อหาต่อๆ ไป จะต้องไปศึกษา ในทางเดินระดับที่ 2และ 3 โครงสร้างประเภทนี้เหมาะกับบทเรียนประเภท ติวเตอร์ ซึ่งเนื้อหาของบทเรียน มีลักษณะของไฮเปอร์เท็กซ์ และไฮเปอร์มีเดีย (Hypertext and Hypermedia)
....3. การประเมินบทเรียน (Content Correctness) หลังจากการจัดทำ Story board เสร็จแล้ว ควรให้ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาอย่างน้อย 3 – 5 คน ได้ประเมินเกี่ยวกับความเที่ยงตรงเค้าโครงสร้างของเนื้อหาก่อน ได้ข้อเสนอแนะแล้วนำมาปรับปรุงอีกครั้ง
.......2.5 แบบกรอบเสริมเชิงเดี่ยว (Single remedial branch) เป็นบทเรียนที่เริ่มด้วยกรอบเนื้อหา ตามด้วยกรอบคำถาม ถ้าผู้เรียนตอบถูกจะไปเรียนกรอบต่อไปแต่ถ้าตอบผิดผู้เรียนจะต้องไปเรียนกรอบซ่อมเสริมก่อนจะไปเรียนกรอบต่อไป ลักษณะบทเรียนประเภทนี้เหมาะกับบทเรียนประเภท ติวเตอร์ และแบบฝึกหัด
.......2.6 แบบมีห่วงกรอบช่วยเสริม (Remedial loops) มีลักษณะคล้ายกับแบบกรอบเสริมเชิงเดี่ยว ต่างกันที่ กรอบช่วยเสริมมีหลายกรอบ ประกอบกันเป็นชุด หลาย ๆ กรอบ ซึ่งเป็นกรอบที่ปูพื้นฐานความรู้ ข้อมูลให้ผู้เรียน เมื่อผู้เรียนได้รับการซ่อมเสริมแล้ว จะส่งกลับมายังกรอบเนื้อหาเดิม เพื่อให้ผู้เรียนใช้ความรู้จากการซ่อมเสริม มาศึกษากรอบเนื้อหาเดิมนั้น และตอบคำ ถามใหม่อีกครั้ง ก่อนจะไปเรียนกรอบเนื้อหาต่อไป โครงสร้างแบบนี้เหมาะสมกับบทเรียนประเภทติวเตอร์ และแบบฝึกหัด
........2.7 แบบแตกกิ่งคู่ (Branching frame sequence) บทเรียนลักษณะนี้ประกอบด้วยกรอบเนื้อหา กรอบคำถาม และกรอบซ่อมเสริม เมื่อผู้เรียน เรียนรู้เนื้อหาจะไปสู่กรอบคำถามซึ่งมีคำตอบให้เลือกตอบหลายตัวเลือกถ้าผู้เรียนตอบถูก จะไปเรียนกรอบต่อไป ถ้าตอบผิดในตัวเลือกที่ 1 จะไปสู่กรอบซ่อมเสริมสำหรับตัวเลือกที่ 1 ถ้าตอบผิดในตัวเลือกที่ 2 จะไปสู่กรอบซ่อมเสริมสำหรับตัวเลือกที่ 2 หากมีหลายตัวเลือกจะมีกรอบซ่อมเสริมหลายกรอบ เมื่อผู้เรียน เรียนกรอบซ่อมเสริมแล้วต้องกลับไปเรียน ในกรอบเนื้อหาใหม่ และทำกรอบทดสอบอีกครั้ง จนกว่าจะตอบถูก จึงจะไปสู่กรอบเนื้อหาต่อไป โครงสร้างลักษณะนี้เหมากับบทเรียนประเภทติวเตอร์ แบบฝึกหัด สถานการณ์จำลอง
.........2.8 แบบแตกกิ่งประกอบ (Compound branches) มีลักษณะที่เหมาะกับบทเรียนประเภทใช้วินิจฉัยข้อบกพร่องของผู้เรียน หรือสถานการณ์แก้ปัญหา คำถามจะอยู่ในลักษณะใช่ ไม่ใช่ จากคำตอบ ใช่ หรือไม่ใช่ที่ผู้เรียนเลือกตอบ จะพาผู้เรียนไปยังกรอบคำถาม หรือ เนื้อหากรอบต่อไปตามพื้นฐานความรู้ของผู้เรียนแต่ละคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น